ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง คนเราทุกคนย่อมหวาดกลัวและหวั่นวิตกต่อผลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนั้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใกล้ตัวหรือเรื่องไกลตัวก็ตาม กระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวงการศึกษาก็เช่นเดียวกัน ทำให้ทั้งครูผู้สอนและบุคลากรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาต้องตื่นตัวและปรับกระบวนการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับนโยบายทางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป
การสอนให้เด็กคิดเป็นนั้นจำเป็นหรือที่ครูจะต้องคิดแผนการจัดการเรียนรู้ใหม่ สร้างนวัตกรรมหรือสื่อการสอนใหม่ ๆ ขึ้นมาใช้กับนักเรียน ก่อนหน้านี้คำตอบที่ได้รับอาจจะมีคนตอบว่า ใช่มากกว่า 50 % แต่จากการศึกษาในส่วนของทฤษฎีทางการด้านการคิด ความหมายของการคิดแล้วนั้นจะพบว่า การคิดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพียงแค่เริ่มต้นว่าจะทำอะไร จะเขียนอะไรนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการคิดแล้ว
ในขั้นต้น สิ่งที่ครูควรจะทำก็คือ ปรับทัศนะคติของตนเองก่อน ลดความคาดหวังที่ว่า นักเรียนจะต้องทำได้เต็มร้อย หรือนักเรียนต้องตอบคำถามได้ถูกข้อ หลังจากที่เราจัดกิจกรรมแบบนั้นแบบนี้แล้ว ให้คิดใหม่ว่า เมื่อนักเรียนเริ่มต้นที่จะคิด และสามารถถ่ายทอดความคิดออกมาในรูปแบบต่าง ๆ เพียงเท่านี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว
ต่อไปลองนำแบบฝึกหัดเก่า ๆ ที่เคยให้นักเรียนทำ ไม่ว่าจะเป็นรายงาน เรียงความ สิ่งประดิษฐ์ หรือข้อสอบที่เป็นอัตนัยที่นักเรียนต้องเขียนบรรยายทั้งหมดมาพิจารณา เกณฑ์การให้คะแนน เกณฑ์ที่เคยตั้งไว้เป็นอย่างไรบ้าง เชื่อว่าคำตอบที่ได้รับนั้น จะต้องมีเกณฑ์ที่ว่า ตอบผิดได้กี่คะแนน ตอบถูกได้กี่คะแนน หรือถ้านักเรียนทำได้เองทั้งหมดได้กี่คะแนน ถ้าครูต้องให้คำแนะนำเพิ่มเติมบ้างคะแนนจะลดลงเหลือเท่าใด สิ่งเหล่านี้ควรมีอยู่ในเกณฑ์การให้คะแนนอยู่หรือไม่ คำแนะนำต่อไปก็คือ ไม่จำเป็นต้องตัดเกณฑ์เหล่านี้ทิ้งไปทั้งหมดแล้วเขียนใหม่ แต่ให้นำมาตัดต่อเป็นหนังเรื่องใหม่ที่สามารถนำมาฉายซ้ำได้เหมือนเดิม
การสอนให้เด็กคิด ครูยังสามารถใช้กระบวนการจัดการเรียนการสอนได้เหมือนเดิม วัดและประเมินผลจากผลงานเดิมที่เคยกำหนดไว้ได้ แต่สิ่งที่ควรเพิ่มเติมมา คือ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เช่น เพื่อพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนากระบวนการคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ของนักเรียน เมื่อเพิ่มผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง สิ่งที่จะต้องเพิ่มตามมาก็คือ การเพิ่มเกณฑ์ประเมินเกี่ยวกับกระบวนการคิด เช่น ถ้าพูดถึงจังหวัดตาก นักเรียนคิดถึงอะไรบ้าง ให้เขียนคำตอบมาให้มากที่สุด ให้เวลา 2 นาที เพียงคำถามง่าย ๆ เท่านี้ เชื่อไหมว่า สามารถวัดความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนด้านการคิดคล่องได้แล้ว เพียงปรับเกณฑ์การให้คะแนนเป็นช่วง เช่น
ถ้าตอบได้ 1 – 5 ข้อ ได้ 1 คะแนน
ถ้าตอบได้ 6 – 10 ข้อได้ 2 คะแนน
ถ้าตอบได้มากกว่า 6 ข้อได้ 3 คะแนน เป็นต้น
คำถามเกิดขึ้นตามมาอีกว่า แล้วช่วงคะแนนที่เหมาะสมควรจะกำหนดอย่างไร สิ่งนี้ต้องมีการทดลองกับนักเรียนกลุ่มเล็กก่อนนำไปใช้จริง ต้องทดสอบกับนักเรียนที่เก่ง ปานกลาง และอ่อนว่า ระดับความสามารถของนักเรียนทั้งสามกลุ่มแตกต่างกันแค่ไหน ทั้งนี้เมื่อนำไปทดลองใช้แล้วอาจจะได้ข้อสังเกตใหม่ ๆ เกิดขึ้นว่า ถึงแม้นักเรียนคนนั้นจะเรียนอ่อนตอบคำถามได้น้อย แต่อาจจะมีคำตอบที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำกับความคิดของคนอื่นอีกด้วย
ข้อควรระวังอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการสอนให้เด็กคิด อย่าปิดกั้นความคิดของนักเรียนโดยเอาความคิดของครูเป็นที่ตั้ง หากพบว่า นักเรียนคิดไม่ตรงกับจุดมุ่งหมายที่ครูต้องการ นั่นเป็นหน้าที่ของครูที่จะต้องหาวิธีการใดมาปรับกระบวนการคิดของนักเรียนให้คิดตรงกัน
สรุปว่า การสอนให้นักเรียนคิดไม่ใช่เรื่องยาก หากเป็นหน้าที่สำคัญของครูที่จะต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพื่อนำสิ่งที่มีอยู่รอบ ๆ ตัวเรามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป
ที่มา : วารสาร สควค. ฉบับที่ 5 หน้าที่ 14 เขียนโดย ครูกาญจนา ตุ่นคำแดง ครู คศ.1 โรงเรียนแม่ปะวิทยาคม จังหวัดตาก
ภาพประกอบจาก : http://searchfiletype.com/fsearch/2/2/7/4/Teachers%20Class%20 Teaching%20English%20lecture%20ppt_227407_lg.jpg