ในแต่ละหน่วยนักเรียนจะได้เรียนคอนเซ็ปต์ทางวิทยาศาสตร์ที่บูรณาการความรู้ทางคณิตศาสตร์ และนำเทคโนโลยี ก็คือ ของโปรแกรมสเตลลาเรียม (Stellarium) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ท้องฟ้าจำลองเสมือน รวมถึงโปรแกรมทางดาราศาสตร์อื่นๆ แอพพลิเคชั่นต่างๆ มาช่วยสนับสนุนการเรียนรู้คอนเซ็ปต์เหล่านั้น
จากนั้นเปิดโอกาสให้นักเรียนได้สร้างผลผลิตของความเข้าใจ นั่นคือ ได้สร้างสรรค์ชิ้นงาน โดยการกำหนดสถานการณ์ใหม่ขึ้นมา แล้วให้เด็กได้ใช้ความรู้ที่เรียนมา ไม่ว่าจะเป็น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและกระบวนการทางวิศวกรรมมาออกแบบชิ้นงานแล้วนำเสนอต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานชิ้นนั้นๆ
จากนั้นชิ้นงานที่นักเรียนจะต้องสร้าง ครูมีสถานการณ์ให้ว่า ถ้าเราจะสร้างสิ่งปลูกสร้างให้มีความสัมพันธ์กับการขึ้นตกของดวงอาทิตย์ และให้มีลักษณะที่เป็นที่สุริยะปฏิทิน คือสามารถบอกฤดูกาลได้เหมือนที่เหตุการณ์ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงประตู 15 ช่องในปราสาทเขาพนมรุ้งอะไรลักษณะนั้น นักเรียนก็จะสร้างสิ่งปลูกสร้างบางอย่างขึ้นมา เป็นโมเดลที่จะสร้างในอำเภอของเรา ให้มีการวางตำแหน่งของสิ่งปลูกสร้างต่างๆ สัมพันธ์กับทิศและการขึ้นตกของดวงอาทิตย์ในวันสำคัญที่เขากำหนดเอาไว้
แนวทางการจัดการเรียนการสอนดาราศาสตร์ ของครูท่านนี้มีอยู่ 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย
ขั้นตอนที่ 1 ให้นักเรียนได้สังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ การขึ้นตกของในวัตถุท้องฟ้า ด้วยตาเปล่าของนักเรียน เหมือนกับที่บรรพบุรุษของเราสมัยที่ยังไม่มีอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์มาช่วย
ขั้นตอนที่ 2 หลังจากที่นักเรียนได้มีประสบการณ์พวกนี้แล้ว เด็กก็จะต้องเข้าใจว่า สิ่งที่เห็นด้วยตา กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในจักรวาล ในธรรมชาตินั้น อาจมีข้อเท็จจริงที่ต่างกัน เราเห็นกับตาว่าดวงอาทิตย์ขึ้น แต่จริงๆแล้วโลกเราตั้งหากที่หมุน ฉะนั้น การที่จะเข้าใจคอนเซปต์นี้ ต้องใช้โปรแกรมมา เชื่อมโยงความสัมพันธ์จากสิ่งที่เห็นด้วยตากับสิ่งที่เป็นจริงในธรรมชาติ ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
ขั้นตอนที่ 3 นักเรียนจะต้องมีประสบการณ์ในการทำวิจัยทางดาราศาสตร์ เหมือนกับที่นักดาราศาสตร์ในสมัยปัจจุบันได้ทำกัน ซึ่งนักเรียนจะมีโอกาสทำโครงงานทางดาราศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
ประโยชน์ ก็คือ นักเรียนได้เห็นความเชื่อมโยง เข้าใจดาราศาสตร์มากขึ้น มีเด็กส่วนหนึ่งให้ความสนใจเข้ามาทำวิจัยดาราศาสตร์พื้นฐานมากขึ้น นักเรียนมีโอกาสในการนำเสนอผลงานในเวทีดาราศาสตร์สำหรับเยาวชนได้ใช้โทรศัพท์มือถือมาเรียนรู้ดาราศาสตร์ได้อย่างสนุกและทุกวันนี้มีนักเรียนจำนวนหนึ่งที่สนใจที่จะทำวิจัยลักษณะแบบนี้เหมือนที่รุ่นพี่เคยทำได้เพิ่มขึ้นครับ
“ผมอยากจะขอเชิญชวนครูทุกท่าน ได้หันมาปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน โดยบูรณาการความรู้ทางสะเต็ม ในการจัดการเรียนรู้ให้มากขึ้น เพราะความรู้เหล่านี้ สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริงได้ รวมถึงการสร้างผลผลิตหรือนวัตกรรมใหม่ ในโลกในยุคศตวรรษที่ 21 ของเราได้”
ที่มา : ข้อมูลและภาพประกอบจาก เว็บไซต์ สสวท. 14 กันยายน 2559 >> [เห็นด้วยตา เชื่อมด้วยสะเต็ม]