การจัดการเรียนการสอนโดยทั่วไปเป็นการบอกให้จำ เมื่อมีการค้นคว้าหรือการทดลองก็มักมีการกำหนดหรือการคิดไว้ก่อนว่าผลออกมาควรเป็นอย่างไร เช่น ผลที่ออกมาจะต้องไม่ขัดกับทฤษฎี ที่เป็นที่ยอมรับกันอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นการศึกษาวิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษามักเน้นหนักที่การแก้โจทย์ปัญหามากกว่าการทดลองทั้ง ๆ ที่การสังเกตการทดลองเป็นหัวใจของวิทยาศาสตร์ จากปัญหาดังกล่าว จึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยมุ่งให้ผู้เรียนมีบทบาทในการจัดการเรียนรู้มากขึ้น เพื่อผู้เรียนจะได้เกิดการเรียนรู้ได้ด้วยการปฏิบัติ ได้คิด ได้วิเคราะห์และแก้ปัญหาโดยอยู่บนพื้นฐานของความสนใจและศักยภาพของผู้เรียนเอง และผู้เรียนสามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปใช้ได้ในชีวิตจริง สำหรับรูปแบบของการจัดการเรียนรู้หรือกระบวนการสอนในลักษณะของการยึดผู้เรียนเป็นสำคัญนั้นมีหลากหลายวิธี เช่นการสอนแบบการทดลองที่สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวัน
วัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์การเรียนทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมการทดลองด้วยกิจกรรมหมอดินน้อย
ตัวแปรที่ศึกษา
1. ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้แบบทดลองด้วยกิจกรรมหมอดินน้อย
2. ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์การเรียนทางวิทยาศาสตร์
กลุ่มตัวอย่าง
นักเรียนชั้น ม. 6 โรงเรียนทุ่งแฝกพิทยาคม จังหวัดสุพรรณบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549 ผู้วิจัยสุ่มนักเรียนมา 1 ห้องเรียน จำนวน 23 คน จากการสุ่มอย่างง่าย
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
ผู้วิจัยทำการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549 โดยใช้เวลาในการทดลอง 16 ชั่วโมง
สมมติฐานการวิจัย
ผลสัมฤทธิ์การเรียนทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้กิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบทดลองด้วยกิจกรรมหมอดินน้อยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย
เป็นเนื้อหาจากหลักสูตรสถานศึกษาในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพิ่มเติม หน่วยการเรียนรู้ย่อยเรื่อง กรด-เบส ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 โดยมีหัวข้อเรื่อง ดังต่อไปนี้
1) ทฤษฎีกรด – เบส
2) คู่กรด-เบส
3) การไทเทรดกรด-เบส
4) การแตกตัวของกรด-เบสการหาค่า pH และ pOH ของสารละลาย
5) สารละลายกรดและสารละลายเบส
6) อินดิเคเตอร์
7) สารละลายบัฟเฟอร์
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งทำการทดลองตามแบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pretest – Posttest Design
วิธีดำเนินการ
1. สุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการจับฉลากมาจำนวน 1 ห้องเรียน จาก 2 ห้องเรียน จำนวน 23 คน
2. ชี้แจงวิธีการเรียนเพื่อให้นักเรียนปฏิบัติตนได้ถูกต้อง
3. ทดสอบก่อนเรียน (pre-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนทางวิทยาศาสตร์
4. ดำเนินการสอน โดยใช้แบบทดลองด้วยกิจกรรมหมอ ดินน้อย ซึ่งผู้วิจัยเป็นผู้สอนเอง ใช้เวลา 16 ชั่วโมง
5. ทำการทดสอบหลังเรียน (post-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนทางวิทยาศาสตร์
6. นำคะแนนที่นักเรียนทำได้ มาวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูล
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการทางสถิติ t – test แบบ Dependent
ผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้
คะแนนเฉลี่ยและความเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์การเรียนทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนก่อนได้รับการสอนแบบทดลองด้วยกิจกรรมหมอดินน้อยเท่ากับ 28.30 และ 7.13 ตามลำดับ และหลังจากจากได้รับการสอนแบบทดลองด้วยกิจกรรมหมอดินน้อยมีคะแนนเฉลี่ยและความเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 44.96 และ 5.94 ตามลำดับ
เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์การเรียนทางวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังการทดลองพบว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนแบบทดลองด้วยกิจกรรมหมอดินน้อยหลังเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และเมื่อพิจารณาความเบี่ยงเบนมาตรฐานพบว่ามีค่าลดลงจาก 7.13 เป็น 5.94 แสดงว่าการกระจายของคะแนนมีค่าลดลงซึ่งทำให้มีความแตกต่างระหว่างบุคคลน้อยลง คือ นักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนทางวิทยาศาสตร์ใกล้เคียงกัน
อภิปรายผล
1. การสอนแบบทดลองด้วยกิจกรรมหมอดินน้อยในเนื้อหาวิทยาศาสตร์นั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับผู้เรียนและการสอนนี้เป็นการสอนที่เน้นบทบาทผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติตามกิจกรรม ซึ่งช่วยให้นักเรียน เกิดความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ทำให้นักเรียนได้รับความรู้อย่างเต็มที่ มีความสนุกสนานเกิดความรักในการเรียนส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
2. การทดลองในกิจกรรมหมอดินน้อยเป็นสื่อที่ดึงดูดใจนักเรียน จากการสังเกตพฤติกรรมนักเรียน เมื่อมีการปฏิบัติตามบทปฏิบัติการ นักเรียนจะสนใจ และเพลิดเพลินกับการเรียน เนื่องจากนักเรียนได้ปฏิบัติจริง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเรียนรู้
3. การเรียนด้วยกิจกรรมหมอดินน้อย นักเรียนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในบทเรียนได้ด้วยตนเองและยังไปปฏิบัติจริงอย่างเป็นลำดับขั้นตอน ทั้งในภาคสนาม และในห้องปฏิบัติการ ซึ่งผลการทดลองท้าทาย เห็นผลจริง รวมทั้งเกิดความเพลิดเพลินในการเรียน ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี
4. กิจกรรมหมอดินน้อยในแต่ละเรื่องมีการแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ก่อนที่จะเรียนเนื้อหา จึงทำให้นักเรียนทราบเป้าหมายในการเรียนที่ชัดเจน ทำให้รู้ว่าจะเรียนอะไรจึงส่งผลให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพ สร้างความเข้าใจในเนื้อหาได้เป็นอย่างดี ทำให้เกิดการเรียนรู้ และในแบบกิจกรรมหมอดินน้อยแต่ละเรื่องเมื่อเรียนจบเรื่องแล้ว จะมีแบบฝึกหัดให้นักเรียนได้ตรวจสอบความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ ซึ่งเมื่อพบว่าเรื่องใดที่ยังไม่เข้าใจหรือทำแบบฝึกหัดไม่ได้ สามารถกลับไปศึกษาใหม่ให้เข้าใจได้ตามความต้องการ โดยศึกษาเพิ่มเติมจากใบความรู้ประกอบชุดกิจกรรม ทำให้นักเรียนสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองได้ เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้
ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัย
1. ควรมีการศึกษาผลการสอนแบบทลองด้วยกิจกรรมหมอดินน้อยของนักเรียนกับตัวแปรอื่น ๆ เช่น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ความคิดสร้างสรรค์ ความคงทนในการเรียนรู้
2. ควรมีการวิจัยที่ใช้การสอนแบบทดลองด้วยกิจกรรมหมอดินน้อยกับนักเรียนที่มีผลการเรียนต่ำ ปานกลาง สูง
ที่มา : วารสาร สควค. ฉบับที่ 12 หน้าที่ 8-9 เขียนโดย ครูเจษฎา เนตรสว่างวิชา สควค.รุ่น 1 ครู ร.ร.ทุ่งแฝกพิทยาคม จ.สุพรรณบุรี